วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2558

เอเชียใต้สมรภูมินิวเคลียร์น่าจับตา

1024320รายงานของคณะกรรมาธิการตรวจสอบด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงสหรัฐ-จีน ( ยูเอสซีซี ) เผยว่าจีนครอบครองหัวรบนิวเคลียร์อยู่ราว 250 หัว สร้างความกังวลให้กับอินเดียไม่น้อย เนื่องจากสิ่งที่จีนมีอยู่นั้น มีครบทั้งขีปนาวุธพิสัยใกล้ พิสัยกลางและพิสัยไกลข้ามทวีป อีกทั้งยังมีการพัฒนาฐานยิงขีปนาวุธทั้งบนพื้นและบนผิวน้ำ

การแข่งขันกันอย่างเงียบๆแต่หนักหน่วงระหว่างทั้งสามประเทศ เพื่อช่วงชิงความเป็นหนึ่งด้านนิวเคลียร์ในระดับภูมิภาค ได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด พร้อมการแสดงความวิตกกังวลจากหลายฝ่าย ว่าคือการสั่นคลอนเสถียรภาพด้านความมั่นคงของเอเชียใต้ ที่เผชิญกับปัญหาร้อยแปดมากมายอยู่แล้ว โดยอินเดียและปากีสถานยังปฏิเสธการเข้าร่วมเป็นรัฐภาคีสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ ( เอ็นพีที )

ปัจจุบันสหรัฐและรัสเซียครอบครองอาวุธนิวเคลียร์รวมกันมากกว่าร้อยละ 90 ของอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมดที่มีอยู่บนโลก แต่เอเชียใต้กำลังจะเป็นภูมิภาคที่น่าจับตามองในเรื่องนี้มากขึ้นแน่นอนในอนาคต

เมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลปากีสถานลงนามในข้อตกลงซื้อเรื้อดำน้ำจากจีนจำนวน 8 ลำ แม้ยังไม่มีรายงานใดสามารถยืนยันได้อย่างชัดเจน ว่าเรือดำน้ำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งติดหัวรบนิวเคลียร์หรือไม่ แต่ข้อตกลงครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในสัญญาการซื้อขายอาวุธมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐบาลปักกิ่ง และแน่นอนยิ่งต้องเป็นการกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันในภูมิภาคเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ด้านอาวุธ

รายงานของหนังสือพิมพ์ “เดอะ วอชิงตัน โพสต์” เมื่อต้นเดือนที่แล้ว ระบุว่าปากีสถานทดสอบขีปนาวุธพิสัยกลาง “ชาฮีน-3” ที่มีแนวโน้มสูงว่าเป็นขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ และพิสัยการเดินทางของขีปนาวุธนั้นผ่านอินเดียด้วย ขณะที่ 1 เดือนต่อมา หนังสือพิมพ์ “เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส” รายงานปากีสถานกำลังซุ่มพัฒนาขีปนาวุธพิสัยใกล้ตัวใหม่ ที่แน่นอนว่าอินเดียต้องอยู่ในรัศมีการเดินทางของอาวุธ

อินเดียกับปากีสถานทำสงครามกันอย่างเปิดเผยมาแล้ว 3 ครั้ง ในปี 2490 2508 และ 2514 ปัจจุบันรัฐบาลนิวเดลีมีหัวรบนิวเคลียร์อยู่ราว 110 หัว แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าอินเดียกำลังเร่งพัฒนาศักยภาพในการผิต เพื่อเพิ่มจำนวนหัวรบชนิดนี้ให้มากขึ้นอีก ทางการอินเดียทำการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ครั้งแรกเมื่อปี 2517 ขณะที่นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ผู้นำประเทศคนปัจจุบัน ยืนยันแผนยุทธศาสตร์ด้านนิวเคลียร์ของอินเดีย คือเพื่อความปลอดภัยของประชาชนและรักษาความมั่นคงของชาติ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 16 เม.ย. ว่าประชาคมโลกกำลังให้ความสนใจและยินดีเป็นอย่างยิ่งต่อการที่อิหร่านสามารถเห็นชอบในหลักการเรื่องข้อตกลงนิวเคลียร์ หลังผ่านการเจรจามาราธอนกับกลุ่มประเทศมหาอำนาจ ในขณะที่บางประเทศในอีกมุมหนึ่งของโลกกำลังต่อสู้ห้ำหั่นกันอย่างเงียบๆ เพื่อช่วงชิงความเป็นผู้นำด้านอาวุธนิวเคลียร์ในระดับภูมิภาค

เอเชียใต้ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่เกิดความรุนแรงซึ่งสั่นคลอนเสถียรภาพด้านความมั่นคงและการเมืองระหว่างประเทศบ่อยครั้ง โดยเฉพาะกรณีที่เกี่ยวข้องกับอินเดียและปากีสถาน รวมถึงจีนที่แม้ตามหลักการแบ่งภูมิภาคตามทฤษฎีทางภูมิศาสตร์จะไม่ถือว่าอยู่ในเอเชียใต้ แต่จีนมีพรมแดนส่วนหนึ่งติดกับทั้งอินเดียและปากีสถาน ขณะที่บรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างมองว่า 3 ประเทศนี้มี “ความอันตราย” ไม่แพ้กัน เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างกันนั้นช่างซับซ้อน บนพื้นฐานของความเป็นปรปักษ์และไม่สามารถไว้ใจกันได้อย่างเต็มร้อย

แม้มีปัญหาทางเศรษฐกิจและความมั่นคงที่ต้องต่อสู้กับกลุ่มตาลีบันรุมเร้าอยู่ตลอดเวลา แต่ปากีสถานเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความก้าวหน้าในโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์มากที่สุดในโลก รายงานของสภาวิเทศสัมพันธ์แห่งสหรัฐ ( ซีเอฟอาร์ ) ระบุว่า จำนวนหัวรบนิวเคลียร์ของกองทัพปากีสถานเพิ่มขึ้น 3 เท่า ภายในทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์ทางการเมืองและการทหารของรัฐบาลปากีสถาน เพื่อต่อกรกับ “คู่อริตลอดกาล” นั่นคืออินเดีย ขณะที่นโยบายของรัฐบาลในภาพรวมไม่เคยมีกรอบชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนิวเคลียร์ แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลหลายคนกล่าวว่า ต้องมีไว้เพื่อป้องกันประเทศ

แหล่งที่มา  :  เดลินิวส์

Source: เอเชียใต้สมรภูมินิวเคลียร์น่าจับตา