วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557

เตือนนักวิชาการ

“ประวิตร” ลั่น คสช.เดินมาถูกทางแล้วรัฐบาลต้องเดินตาม เล็งประชุม ร่วมกันทุกเดือน ทำงานแบบคู่ขนาน เสียงแข็งใส่นักวิชาการอย่าล้ำเส้น ยันจัดงานเสวนาต้องมาขอ อนุญาต คสช.ก่อน มอบนโยบายกลาโหมดูแลเข้มด้านความมั่นคง กำชับทำแผนงบประมาณรอบ 3 เดือน เน้นโปร่งใสตรวจสอบได้ นายกฯสั่ง คตร.ไล่เบี้ยตรวจสอบไมค์แพงให้แล้วเสร็จใน 3 เดือน รังนักข่าวส่อโดนทุบสร้างใหม่ หลัง “บิ๊กตู่” มองแล้วไม่เข้ากับสถาปัตยกรรมในทำเนียบฯ รัฐบาลท้าส่งหลักฐานล็อกสเปกเลือก สปช.ระบุถ้ามีจริงพร้อมฟันทันที สนช.จี้ตรวจสอบลดข้อครหา จังหวัดไหนมีปัญหาให้แขวนไว้ก่อน พร้อมแนะเปิดเผยรายชื่อคนผ่านคัดสรรให้สังคมสบายใจ


หลังจากที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยอารมณ์ดุดันยืนยันว่าขั้นตอนการคัดเลือกสภาปฏิรูปแห่ง ชาติ (สปช.) ไม่มีการล็อกสเปกตามที่มีการกล่าวหา ล่าสุดยังออกมาปรามการจัดงานเสวนาของนักวิชาการว่าห้ามล้ำเส้น และจะต้องทำการขออนุญาตจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก่อนด้วย


นายกฯสางงานก่อนพ้นตำแหน่ง ผบ.ทบ.


เมื่อเวลา 08.09 น. วันที่ 22 ก.ย. ที่ทำเนียบ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดินทางเข้าทำงานที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยไม่มีรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการคนใดเข้าพบ กระทั่งเวลา 12.00 น.นายกฯเดินทางออกจากทำเนียบฯไปยังกองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) เพื่อสะสางงานในตำแหน่ง ผบ.ทบ.ที่จะเกษียณอายุราชการจากตำแหน่งดังกล่าว ในวันที่ 30 ก.ย.นี้


“ประวิตร” ยันรัฐบาลต้องเดินตาม คสช.


เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 22 ก.ย. ที่กระทรวง กลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมสภา กลาโหม ถึงการประชุมกำหนดนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อทำงานคู่ขนานกับรัฐบาลว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรียังไม่ได้กำหนดว่าจะประชุมเดือนละกี่วัน แต่ยืนยันว่าจะต้องมีแน่นอนเพื่อทำงานคู่ขนานกับรัฐบาล เพราะว่ารัฐบาลชุดนี้ต้องเดินตามนโยบาย คสช. และขณะนี้ คสช. เดินมาได้ถูกต้องและประชาชนก็พอใจ


จัดงานเสวนาต้องขออนุญาตอย่าล้ำเส้น


พล.อ.ประวิตรกล่าวถึงกรณี 60 นักวิชาการ อจ.มหาวิทยาลัยเข้าชื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับการระงับงานเสวนาที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา ว่า ทุกอย่างต้องทำตามกฎหมาย อย่าให้ล้ำเส้นอะไรทำตามกฎหมายได้ก็ทำ เมื่อถามว่า นักวิชาการเรียกร้องให้เปิดพื้นที่แสดงความคิดเห็น และจัดเสวนา พล.อ.ประวิตรตอบว่า สามารถทำเรื่องไปที่ คสช.เพราะเรื่องเหล่านี้ คสช.จะเป็นผู้กำหนดว่าจะดำเนินการอย่างไร ขอย้ำว่าทุกอย่างดำเนินการตามกฎหมาย เพราะ คสช. ต้องการให้เกิดความสงบสุข และความปรองดอง แต่อะไรที่จะเกี่ยวข้องกับการเมืองคงไม่ได้ เมื่อถามว่า หากนักวิชาการจะเสนอเสวนาวิชาการได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตรตอบว่า ทุกเรื่อง คสช.จะประชุมกัน ถ้ามีความชัดเจนทางวิชาการก็ไม่มีใครว่าอะไร


ถกสภากลาโหมปกป้องชาติ–ประชาชน


ต่อมาเวลา 10.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมสภากลาโหมครั้งแรกภายหลังได้รับการโปรดเกล้าฯให้ดำรง ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม โดยมี พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รอง ผบ.ทบ.และ รมช.กลาโหม พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผบ.ทร. พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ. เข้าร่วมประชุม ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ ผบ.ทบ.รวมถึง พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.ทหารสูงสุด ไม่ได้เดินทางมาร่วมประชุม


พ.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ 7/2557 ว่า พล.อ.ประวิตรได้เน้นย้ำแนวทางปฏิบัติงานโดยนำเอาแนวพระราชดำรัสของพระบาท สมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ไปปฏิบัติเพื่อความมั่นคงของประเทศ ชาติ รวมทั้งต้องปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเต็มกำลังความสามารถ อีกทั้งจะสนับสนุนการเสริมสร้างความมั่นคงตามแนวชายแดน เน้นการรักษาอธิปไตย แก้ไขปัญหายาเสพติดและอาวุธสงคราม การลักลอบขนสิ่งของผิดกฎหมายและการหลบหนีเข้าเมือง ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ


สั่งทำแผนใช้งบประมาณรอบ 3 เดือน


พ.อ.คงชีพกล่าวว่า พล.อ.ประวิตรได้เน้นย้ำเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับมิตรประเทศ การเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และให้สื่อต่างๆมีความสำคัญต่อความมั่นคง ขอให้ทุกส่วนราชการ สร้างความเข้าใจให้กับสื่อมวลชนเพื่อเสนอข่าวให้ไปทิศทางเดียวกัน ส่วนการป้องกันประเทศเน้นการเสริมสร้างขีดความสามารถของกองทัพให้มีความ พร้อมในการรักษาเอกราช อธิปไตย และพร้อมรับมือกับภัยคุกคามทุกรูปแบบ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือประชาชน เพื่อให้ประชาชนศรัทธากองทัพ ส่วนด้านยุทโธปกรณ์กองทัพต้องมีความทันสมัยมีประสิทธิภาพ เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน ปรับปรุงโครงสร้างกองทัพให้สอดคล้องกับสถานการณ์ความมั่นคง สำหรับงบประมาณขอให้ทุกส่วนราชการดำเนินการโดยโปร่งใส ตรวจสอบได้ ให้ทุกส่วนงานจัดทำแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องต่อการใช้จ่าย โดยเน้นการวางแผนการเบิกจ่ายงบประมาณในไตรมาสที่ 1 เพื่อไม่ให้เกิดการกระจุกตัวในปลายปีงบประมาณ โดยต้องวางแผนงบประมาณในรอบ 3 เดือน เพื่อให้มีผลต่อการปฏิบัติ และการเบิกจ่ายต้องสอดคล้องกับนโยบาย คสช.


มท.1 กำชับโยธาฯเร่งออกผังเมือง 5 จว.


เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 22 ก.ย.ที่กรมโยธาธิการและผังเมือง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ตรวจเยี่ยมกรมโยธาธิการและผังเมือง โดยมีนายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ให้การต้อนรับ พล.อ.อนุพงษ์กล่าวมอบนโยบายว่า ขอให้เร่งดำเนินการออกผังเมืองรวม บริเวณชุมชนที่รองรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ 5 จังหวัด คือ ตาก มุกดาหาร สระแก้ว ตราด และสงขลา เพื่อให้การกำหนดโซนนิ่งของพื้นที่คมนาคมขนส่งและโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับแนวทางการป้องกันน้ำท่วม ขอให้ก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำและริมทะเลทั่วประเทศ แก้ไขปัญหาการพังทลายของตลิ่ง เรื่องการกำจัดผักตบชวาและวัชพืช เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ เร่งแก้ไขปัญหาขยะในทุกพื้นที่ ส่วนศูนย์ดำรงธรรมขอให้ส่งเจ้าหน้าที่ไปอยู่ประจำ


ตามประเมิน ผวจ.ขี้เกียจเจอลงแส้


ผู้สื่อข่าวถามถึง แนวทางการสร้างความปรองดอง ของกระทรวงมหาดไทย พล.อ.อนุพงษ์ตอบว่า ได้ให้แนวทางกับผู้ว่าราชการจังหวัดแล้ว หลักใหญ่คือถึงเวลาแล้วที่จะต้องอยู่ร่วมกันด้วยความสงบ เห็นต่างกันได้แต่ต้องอยู่ร่วมกันโดยสันติ ส่วนการประเมินผลงาน ผวจ.ทุกเดือนนั้นเป็นการประเมินเพื่อกระตุ้นการทำงาน ไม่ใช่ประเมินว่าสอบผ่านหรือไม่ผ่าน แต่หากมีการเพิกเฉย หรือไม่ปฏิบัติงานก็ต้องมีมาตรการทางวินัย เมื่อถามว่า วันนี้ครบรอบ 4 เดือนของการปฏิวัติคิดว่าผลงานของ คสช.ที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง พล.อ.อนุพงษ์ตอบว่า ถ้านับวันที่มีความแตกแยกของคนในชาติรุนแรง ประเทศเดินไปไม่ได้ การที่ คสช.เข้ามาแก้ปัญหาแล้วกระแสสังคมรับได้กับสถานการณ์ที่เรียบร้อย และ คสช.มีความโปร่งใส ประชาชนก็คงจะให้เราสามารถแก้ปัญหา ไปตามโรดแม็ปได้ เมื่อถามว่า ล่าสุดมีผลโพลออกมาว่าต้องการให้รัฐบาลอยู่แก้ปัญหาจนเสร็จ ซึ่งอาจจะเลย 1 ปี พล.อ.อนุพงษ์ตอบว่า ก็คงต้องเป็นไปตามโรดแม็ปก่อน ตอนนี้ก็ต้องทำให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์อย่าให้กลับไปสู่วังวนของความแตก แยก เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรที่มีพรรคการเมืองออกมาวิพากษ์วิจารณ์ คสช. พล.อ.อนุพงษ์ตอบว่า ไม่ได้รู้สึกอะไร เราทำตามหน้าที่ คสช.ซึ่งบอกชัดว่าจะแก้ไขปัญหาประเทศชาติให้ได้ ฉะนั้นไม่เห็นว่าเราจะต้องไปยุ่งอะไรกับใคร


ยัน สปช.หลากหลาย–ไม่ล็อกสเปก


พล.อ.อนุพงษ์ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการคัดสรรสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ว่า ในส่วนของตนทำหน้าที่เป็นกรรมการคัดสรรในส่วนของภูมิภาค ได้ส่งรายชื่อให้ คสช.เป็นที่เรียบร้อยแล้วจำนวน 50 คน สำหรับความกังวลในเรื่องของการล็อกสเปกนั้น ยืนยันว่าไม่มีแน่นอน เพราะนโยบายของนายกฯต้องการที่จะได้คนในแต่ละส่วนเป็นผู้ที่รู้จริง เช่น ในส่วนของการปกครองส่วนท้องถิ่นก็จะมีหลากหลาย มีนักวิชาการ นักปกครองท้องถิ่น ผู้ที่เคยทำงานในสายของกระทรวงมหาดไทยและมีความรู้ในเรื่องของการปกครองส่วน ท้องถิ่น และภาคเอกชน ขอยืนยันว่าในส่วนอื่นๆทั้ง 11 ด้าน ก็จะหลากหลายเช่นเดียวกัน


นายกฯให้ คตร.สอบไมค์แพง 3 เดือน


เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 23 ก.ย.ยังคงใช้ตึกสันติไมตรีหลังในเป็นที่ประชุม ส่วนห้องประชุม ครม.ชั้น 5 ตึกบัญชาการ 1 ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.สั่งให้มีการรื้อถอนไมโครโฟนที่มีปัญหาเรื่องของการจัดซื้อในราคาที่แพง เกินความเป็นจริง ได้นำส่งคืนบริษัทหมดแล้ว เพราะยังไม่ได้มีการจัดซื้อจัดจ้าง และนายกฯสั่งการให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ดำเนินการตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน สอบขั้นตอนต่างๆ ทั้งการทำทีโออาร์ การว่าจ้างบริษัท การทำสัญญาและมีใครกระทำความผิดหรือไม่ จากนั้นรายงานผลสอบให้นายกรัฐมนตรีรับทราบ ส่วนจะสามารถใช้ห้องประชุม 501 เป็นสถานที่ประชุม ครม.ได้เมื่อไหร่นั้น คงต้องดูที่ความพร้อมและความเหมาะสม แต่คงไม่ถึงขั้นที่ต้องให้ คตร.สอบเสร็จ


ถึงคิวเข้าปรับรังนกกระจอก


ร.อ.นพ.ยงยุทธกล่าวว่า ส่วนการปรับปรุงห้องผู้สื่อข่าวทำเนียบฯทั้ง 3 ห้อง เป็นการปรับปรุงให้เกิดความเหมาะสม เพียงพอกับจำนวนผู้สื่อข่าวที่มากขึ้น แต่ทั้งหมดต้องหารือและรับทราบถึงความต้องการของสื่อมวลชนที่ปฏิบัติหน้าที่ อยู่ประจำทำเนียบฯก่อน โดยทั้งหมดจะทำให้เพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่ ถือเป็นการอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชน


เลขาฯนายกฯส่งคนเจรจาสื่อทุบรัง 1


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากช่วงวันหยุดคนงานทำเนียบรัฐบาล ทำการปรับปรุงภูมิทัศน์ นำต้นไทรอังกฤษความสูง 2.5 เมตร จำนวน 50 ต้น มาปลูกเรียงเป็นกำแพงความยาวกว่า 10 เมตร กั้นระหว่างรังนกกระจอกกับสวนหย่อม ปรากฏว่าตลอดวันเดียวกัน ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พ.อ.วีรชน สุคนธปฏิภาค คณะทำงานนายกรัฐมนตรี มาพูดคุยกับสื่อมวลชนที่ห้องผู้สื่อข่าว 1 เพื่อหาข้อยุติการปรับปรุงห้องผู้สื่อข่าว โดยช่วงเช้าผู้สื่อข่าวยืนยันไม่ให้ทุบสร้างใหม่ แต่ให้ปรับปรุงขยายพื้นที่ให้เหมาะสมเท่านั้น ปรากฏว่า ช่วงบ่าย พ.อ.วีรชน มาพูดคุยกับผู้สื่อข่าวที่รังนกกระจอก 1 อีกครั้ง นำแบบแปลนภาพรังนกกระจอกที่ออกแบบใหม่ให้ผู้สื่อข่าวดู พร้อมระบุว่าเนื่องจาก พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำรวจพื้นที่แล้วเห็นว่ารังนกกระจอก 1 ซึ่งใช้งานมากว่า 30 ปี รูปแบบไม่เข้ากับสถาปัตยกรรมของตึกนารีสโมสร และตึกไทยคู่ฟ้า จึงสั่งให้สถาปนิกร่างแบบใหม่สร้างให้เข้ากับสถาปัตยกรรมตึกนารีสโมสร และตึกไทยคู่ฟ้า และระบุว่าแบบดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจากนายกฯแล้ว


อ้างไม่กลมกลืนกับตึกในทำเนียบฯ


พ.อ.วีรชนกล่าวว่า หลังจากได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ผู้รับเหมาจะเข้าดำเนินการทันที มีความจำเป็นต้องทุบตึกเดิมและสร้างตึกใหม่เพื่อความรวดเร็ว ใช้ระยะเวลาดำเนินการ 60-90 วันโดยประมาณ ระหว่างการรื้อถอนจะให้สื่อมวลชนทำงานในตู้คอนเทนเนอร์ที่จัดเตรียมไว้ให้ ปรับใช้เป็นที่ทำงานสื่อชั่วคราว ตั้งใกล้รังนกกระจอก 1 และยืนยันกับสื่อมวลชนว่าหลังก่อสร้างแล้วเสร็จ จะให้สื่อมวลชนกลับมาประจำในห้องปฏิบัติการเดิมอย่างแน่นอน เรื่องดังกล่าวนายกฯ ปรารภกับคณะทำงานว่ามองลงไปแล้วรังนกกระจอก 1 ไม่กลมกลืนกับตึกไทยคู่ฟ้า และตึกนารีสโมสร ต้องการให้ปรับปรุงเข้าสถาปัตยกรรมในภาพรวม สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเรียบร้อย การซ่อมแซมห้องพักสื่อมวลชนทั้ง 3 จุด ใช้งบประมาณ 2,020,000 บาท คำนวณจากสถาปนิกของกรมโยธาธิการและผังเมือง รังนกกระจอก 1 ใช้งบฯ 622,000 บาท เพิ่มตามความเหมาะสม


สื่อรวบรวมรายชื่อค้านทุบสร้างใหม่


จากนั้นสื่อมวลชนประจำรังนกกระจอก 1 ได้รวบรวมรายชื่อ เพื่อแสดงจุดยืนว่าไม่ต้องการให้ทุบรังนกกระจอกทิ้ง เพราะเห็นว่าเป็นสถาปัตยกรรมดั้งเดิมและมีประวัติศาสตร์ทางการเมืองมายาวนาน เสนอไปยังเลขาธิการนายกรัฐมนตรี แต่หากจะทุบก็ไม่ขัด ถ้าทำให้ภูมิทัศน์ในทำเนียบรัฐบาลดีขึ้น เพียงแต่ขอให้สื่อมวลชนกลับมาอยู่ที่เดิมตามที่ตกลงกันไว้ เนื่องจากจุดนี้ถือเป็นสถานที่ทำงานจุดแรกในทำเนียบรัฐบาลของสื่อมวลชน และเป็นจุดที่มีภูมิทัศน์เหมาะต่อการติดตามความเคลื่อนไหวต่างๆในทำเนียบ รัฐบาลได้อย่างเหมาะสม


“สุวพันธุ์” เล็งตั้งวิปประสาน สนช.21 คน


เมื่อเวลา 13.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตั้งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติว่า ตามที่ประชุม ครม.มีมติและนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ตนเป็นผู้ดำเนินการ ล่าสุดได้สั่งการให้รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประสานไปยังสภานิติบัญญัติแห่ง ชาติ (สนช.) แล้วเพื่อร่วมกันพิจารณาองค์ประกอบ อำนาจหน้าที่ ก่อนที่จะมีการตั้งคณะกรรมการ 21 คน ที่มีผู้ทรงคุณวุฒิจากฝ่ายรัฐบาลและสมาชิก สนช.ร่วมเป็นคณะกรรมการ และมีตนเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ โดยจะเร่งดำเนินการจัดตั้งให้เร็วที่สุด เพื่อเสนอรายชื่อให้นายกฯลงนามแต่งตั้งต่อไป


ครม.เตรียมตั้ง สมช.-สขช.แทนคนเก่า


นายสุวพันธุ์ในฐานะผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.) เปิดเผยว่า สำหรับการแต่งตั้งผู้อำนวยการ สขช.แทนตนที่จะเกษียณอายุราชการเดือน ก.ย.นี้ สัปดาห์ที่ผ่านมาส่งรายชื่อผู้ที่เหมาะสม ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.พิจารณาแล้ว ส่วนจะมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 23 ก.ย.หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกฯ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุวพันธุ์ได้เสนอชื่อนายฉัตรพงษ์ ฉัตราคม รองผู้อำนวยการ สขช. อาวุโสลำดับที่ 1 ดำรงตำแหน่งแทน และมีรายงานข่าวว่า การประชุม ครม.วันที่ 23 ก.ย.จะมีการพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงทดแทนในตำแหน่งที่จะเกษียณอายุ ราชการในเดือน ก.ย.นี้ หลายตำแหน่งด้วย อาทิ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอชื่อนายอนุสิษฐ คุณากร รองเลขาธิการ สมช.เป็นเลขาธิการ สมช.โดยชื่อได้เสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ พิจารณาก่อนแล้วเช่นเดียวกัน


รมว.แรงงานเสนอ ครม.ตั้งปลัดใหม่


พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.แรงงาน กล่าวว่า วันที่ 23 ก.ย. จะเสนอรายชื่อแต่งตั้งปลัดกระทรวงแรงงาน และอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) รวมทั้งเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ทดแทนผู้ที่เกษียณ โดยจะยึดเกณฑ์ตามที่นายจีรศักดิ์ สุคนธชาติ ปลัดกระทรวงแรงงานนำเสนอ เนื่องจากเป็นผู้ที่เข้าใจและรู้จักข้าราชการดี ตนให้ความสำคัญในเรื่องของความอาวุโส ความรู้ความสามารถเป็นองค์ประกอบในการพิจารณาแต่งตั้ง และมั่นใจว่าเมื่อแต่งตั้งไปแล้วจะสามารถอธิบายเหตุผลให้ข้าราชการได้เข้าใจ อย่างไรก็ตามหากเกิดปัญหาที่ตัวบุคคลในภายหลัง ก็สามารถปรับเปลี่ยนโยกย้ายได้อีก


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจีรศักดิ์ได้เสนอให้นายนคร ศิลปอาชา อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงแรงงานคนใหม่ เนื่องจากมีความอาวุโสสูงสุด เหลืออายุราชการ 1 ปี และเคยเป็นอธิบดีมาแล้ว 3 กรม


รบ.ท้าส่งหลักฐานล็อกสเปก สปช.


ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการร้องเรียนล็อกสเปกสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ว่า หากมีเบาะแสว่าล็อกสเปกจริง ขอให้ส่งเรื่องร้องเรียนเข้ามายังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือรัฐบาล จะสอบสวนเรื่องดังกล่าวทันที และจะดำเนินการกับผู้กระทำความผิดหากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นเรื่องจริง ขอยืนยันว่าไม่มีการล็อกสเปกแน่นอน คณะกรรมการสรรหา สปช.มีแนวทางในกระบวนการสรรหาอยู่แล้ว และกรรมการทุกคนยึดความถูกต้องโปร่งใส เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีห้ามไม่ให้เปิดเผยข้อมูลการสรรหาสปช.จะเป็นข้อดีหรือข้อเสียต่อ รัฐบาล ร.อ.นพ.ยงยุทธตอบว่า คณะกรรมการทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพื่อให้ได้คนที่มีคุณภาพ คุณสมบัติเหมาะสม มีความรู้ความสามารถ หากสงสัยอะไรสามารถสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องได้อยู่แล้ว


สนช.จี้ คสช.ตรวจสอบลบข้อครหา


ที่รัฐสภา นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้ คสช. เข้ามาตรวจสอบข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการสรรหา สปช. ในหลายจังหวัดที่ถูกระบุว่าไม่มีความโปร่งใสและมีการล็อกสเปกจากกรรมการ สรรหา ส่วนตัวก็ได้รับทราบข้อมูลว่ามีปัญหานี้เกิดขึ้นจริง เช่น กรณีที่จังหวัดสุรินทร์ พัทลุงและหลายจังหวัด แม้ว่าองค์ประกอบในกรรมการสรรหาจะมีฝ่ายตุลาการอยู่ด้วยแต่ก็เป็นเพียงแค่ เสียงข้างน้อย ทำให้รายชื่อที่ได้รับการเสนอไปถึง คสช.ถูกล็อกให้เป็นคนที่กรรมการสรรหาส่วนใหญ่ในจังหวัดนั้น กล้องcctvต้องการให้เป็น สปช.เท่านั้น จึงอยากให้มีการแก้ปัญหานี้ก่อนไม่เช่นนั้นอาจจะกระทบต่อภาพรวมในการตั้ง สปช. ทั้งที่ในส่วนกลาง 11 ด้านไม่มีปัญหาเรื่องความโปร่งใส


จังหวัดไหนมีปัญหาให้แขวนไว้ก่อน


นายสมชายกล่าวว่า สำหรับการกำหนดให้ปกปิดรายชื่อผู้ที่ได้รับการทาบทาม จนถึงผู้ที่ได้รับการสรรหาเพื่อเสนอต่อ คสช.เป็นความลับทั้งกระบวนการ มีจุดอ่อนทำให้ประชาชนไม่มีโอกาสได้ตรวจสอบว่า กรรมการสรรหาทำหน้าที่อย่างโปร่งใสหรือไม่ หาก คสช.ตรวจสอบเรื่องนี้และพบว่าในจังหวัดใดที่มีปัญหาก็อาจจะระงับการเลือก สปช.ในจังหวัดนั้นออกไปก่อน เพราะตามรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่า ให้ตั้ง สปช.ไม่เกิน 250 คน หากจังหวัดใดมีปัญหาก็ยังไม่ต้องตั้ง ควรแก้ไขให้เกิดความโปร่งใส เป็นที่ยอมรับของประชาชนในพื้นที่ก่อน เหมือนกับการตั้ง สนช.ที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ตั้งจำนวน 220 คน แต่ปัจจุบันก็มีไม่ครบตามจำนวนดังกล่าว มีเพียงแค่ 192 คนก็ทำหน้าที่ได้


อดีต ส.ว.จี้เปิดรายชื่อผู้ผ่านการคัดสรร


นายยุทธนา ยุพฤทธิ์ อดีต ส.ว.ยโสธร และผู้เข้ารับการสรรหาเป็น สปช. จ.ยโสธร กล่าวถึงกระบวนการคัดเลือกผู้สมัคร สปช. จ.ยโสธร โดยมิชอบว่า ในวันที่ 23 ก.ย. จะไปยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. เพื่อขอความเป็นธรรม กรณีที่คณะกรรมการสรรหา สปช. จ.ยโสธร ใช้อำนาจตัดสิทธิผู้สมัครสปช. จ.ยโสธรหลายคน โดยไม่ถูกต้อง ล่าสุดได้ขอเอกสารจากคณะกรรมการสรรหา สปช. จ.ยโสธร ถึงหลักเกณฑ์การคัดเลือก และวิธีการให้คะแนน แต่คณะกรรมการสรรหาฯไม่ให้ข้อมูล บอกว่าให้ไปขอ คสช. การไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียด ทั้งที่ตนเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงถือว่าทำผิดกฎหมาย ขัดต่อ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร อยากให้คณะกรรมการสรรหา สปช. จ.ยโสธร เปิดเผยรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือก 5 คน ให้สังคมช่วยตรวจสอบด้วย ไม่ใช่ปิดเป็นความลับ ถ้าไม่เปิดเผยจะยิ่งถูกครหาว่าล็อกสเปก การอ้างว่ากลัวการวิ่งเต้นจึงไม่เปิดเผยรายชื่อนั้น แม้จะเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยก็มีการวิ่งเต้นอยู่ดี จึงควรเปิดเผยเพื่อความโปร่งใส พร้อมชี้แจงด้วยว่ามีวิธีการให้คะแนนอย่างไร


โยน คสช.ตัดสินเปิดชื่อคนผ่านรอบแรก


นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติ คนที่ 1 ในฐานะคณะกรรมการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านการเมือง ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวการล็อกสเปกสรรหา สปช.ว่า กระบวนการสรรหาเป็นไปตามขั้นตอน ยืนยันไม่มีการล็อกสเปก เพราะใช้วิธีคัดเลือกด้วยการลงคะแนนลับ ส่วนจะต้องเปิดเผยรายชื่อผู้ผ่านสรรหารอบแรกหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคณะรักษา ความสงบแห่งชาติ (คสช.) แต่ตนเห็นว่ามีข้อดีที่จะได้โปร่งใสตรวจสอบได้ แต่ข้อเสียคือ อาจทำให้เกิดการวิ่งเต้นเพื่อให้ผ่านการคัดเลือกรอบสุดท้าย


สนช.ไม่สนเสียงค้านลุยติดดาบถอดถอน


นายสุรชัยยังกล่าวถึงการพิจารณาร่างข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติ แห่งชาติ วาระ 2 ในที่ประชุม สนช. วันที่ 25 ก.ย.ว่า เบื้องต้นมีสมาชิกขอยื่นคำแปรญัตติ โดยมีทั้งกรรมาธิการเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ในส่วนที่เห็นด้วยและยอมปรับแก้ไขแล้วคือเรื่องการถอดถอนที่จะมีการตั้งวิป ขึ้นมาเพื่อกลั่นกรองเรื่องก่อนส่งเรื่องให้ สนช. ดำเนินการถอดถอน ส่วนที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าการถอดถอนอาจค้านต่อแนวทางสร้างความปรองดองนั้น ยืนยันว่าการถอด ถอนจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ โดยเฉพาะเรื่องทุจริตคอร์รัปชันที่ต้องตรวจสอบจนถึงที่สุด เพราะไม่เช่นนั้นประชาชนอาจจะไม่ยอมรับ เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน


กกต.ย้ำส่งรายชื่อให้ คสช.ทั้งหมด 23 ก.ย.


เมื่อเวลา 12.40 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง กล่าวถึงการเสนอชื่อผู้เหมาะสมเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ระดับจังหวัดว่า ทราบว่ามี 68 จังหวัด สรรหาแล้วเสร็จ เหลืออีก 9 จังหวัดคาดว่าจะแล้วเสร็จในวันนี้ (22 ก.ย.) และจะส่งให้ คสช.พิจารณาได้ในวันที่ 23 ก.ย. ส่วนกรณีที่ นพ.อนันต์ อริยะชัยพาณิชย์ อดีตรองประธานวุฒิสภาและผู้เสนอชื่อเข้ารับการสรรหา สปช.จังหวัดสุรินทร์ กล่าวหาว่ามีการล็อกสเปกนั้น ท่านรู้ได้อย่างไรว่าท่านไม่มีชื่อ ดังนั้น จึงเป็นเพียงการคาดการณ์ เราระมัดระวังเรื่องนี้อย่างเต็มที่ และคณะกรรมการสรรหาจังหวัดคงไม่ทำอย่างนั้น เหมือนเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่งเอากระดูกแขวนคอ อย่างไรก็ตาม การสรรหา สปช. 250 คน อาจไม่ต้องครบในครั้งเดียว หากมีกรณีไม่ถูกต้อง คสช.มีอำนาจสั่งให้มีการเลือก สปช.ใหม่ได้


ใช้งบฯ 57 ทัวร์นอกไม่ขัดนโยบาย คสช.


นายภุชงค์ยังกล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่และกกต.ใช้งบประมาณเดินทางไปดู งานกับหลักสูตรพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง (พตส.) รุ่นที่ 5 ว่า หลักสูตร พตส.ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาการเมืองกับงบประมาณของสำนักงาน กกต.ซึ่งใช้งบประมาณที่ขออนุมัติไว้แล้วตั้งแต่ปี 2557 โดยหลักสูตรของ พตส.จะต้องไปทัศนศึกษาดูงานเกี่ยวกับการเลือกตั้งเพื่อรับฟังข้อเสนอแนะและ นำมาพัฒนาการเลือกตั้ง ยืนยันว่าเป็นการดำเนินการตามงบประมาณที่ขอไว้ล่วงหน้า 6-7 เดือนแล้ว ยอมรับว่ามีเจ้าหน้าที่เดินทางไปด้วยจริง ซึ่งไปเพื่ออำนวยความสะดวกและเพื่อบันทึกข้อมูล ทุกคนที่ไป ไม่ได้ไปเที่ยว เมื่อถามว่าการไปทัศนศึกษาต่างประเทศขัดนโยบาย คสช.หรือไม่ นายภุชงค์ตอบว่า คสช.มอบนโยบายไม่ให้เดินทางไปต่างประเทศในการใช้งบประมาณปี 2558 แต่การเดินทางไปดูงานของ พตส.ครั้งนี้ใช้งบประมาณปี 2557 ยืนยันว่าในงบประมาณปี 2558 จะไม่มีการไปทัศนศึกษาต่างประเทศแน่นอน


“สมชัย” นัดแจงประโยชน์ดูงานนอก


นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง ชี้แจงกรณีเดินทางไปดูงานการออกเสียงประชามติเพื่อแยกประเทศของสกอตแลนด์ ร่วมกับนักศึกษาหลักสูตรพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง (พตส.) รุ่นที่ 5 ว่า จะไม่ชี้แจงว่าการไปดูงานนี้สิ้นเปลืองงบฯหรือไม่ เพราะตนไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มหลักสูตรนี้ ต้องให้สำนักงานชี้แจงประเด็นนี้ รวมถึงประเด็นที่มีเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ใช่นักศึกษาร่วมคณะไปด้วย เพราะตนมีผู้ติดตามไปคนเดียว ไม่ได้มีผู้ติดตามมากถึง 7-8 คนเหมือน กกต.ชุดก่อน ส่วนตัวจะนำเสนอเฉพาะประโยชน์ที่ได้รับจากการไปดูงานในครั้งนี้ ซึ่งจะบรรยายให้กับนักศึกษาหลักสูตรการเมืองและการปกครองระดับสูงรุ่นที่ 18 ของสถาบันพระปกเกล้าในวันที่ 23 ก.ย. เวลา 09.00-11.30 น. จึงขอให้ผู้โจมตีตนไปร่วมรับฟังด้วย ทั้งที่ความจริงไม่มีหน้าที่ต้องรายงานใคร


เชื่อพุ่งเป้าเล่นงานปั่นปมการเมือง


นายสมชัยกล่าวว่า การไปดูการออกเสียงประชามติแยกประเทศของสกอตแลนด์ครั้งนี้ถือเป็นประวัติ ศาสตร์ เพราะโอกาสลักษณะนี้หาไม่ได้ง่ายในรอบ 100 ปี และนักศึกษาชุดนี้สามารถนำมาปรับใช้กับบ้านเราได้ ยืนยันว่าไม่ได้ใช้งบฯเพื่อไปเที่ยว ส่วนที่มีรูปถ่ายกับสถานท่องเที่ยวนั้น ก็เป็นการศึกษาเชิงศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ไม่เสียหายอะไร แต่ถ้าตนไปดูงานในบ่อน ไนต์คลับหรือที่อโคจร จะน่าละอายมากกว่า เชื่อว่าคงอยากให้เป็นประเด็นทางการเมืองเพราะไม่ใช่ตนไปเพียงคนเดียว แต่ไปหลายคน ทำไมจึงมาโจมตีตนคนเดียว เมื่อถามว่า คิดว่ากระแสข่าวที่เกิดขึ้นจะมีผลต่อการเข้าสรรหาเป็น สปช.หรือไม่ นายสมชัยตอบว่า การจะได้รับเลือก หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าคณะกรรมการสรรหาเห็นว่าตน มีประโยชน์หรือไม่ เพราะมีหน้าที่อื่นที่ต้องรับผิดชอบ


เตือนล็อกสเปกเสี่ยงปฏิรูปสะดุด


นพ.พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา (แอลดีไอ) รับติดตั้งกล้องวงจรปิดกล่าวถึงกรณีข้อสงสัย การล็อกสเปก สปช.ว่า คสช.ต้องชี้แจงประเด็นที่ถูกสงสัยให้ชัดเจน เช่น การใช้หลักเกณฑ์ใดคัดเลือก สปช.แต่ละด้าน จากที่ส่งชื่อไปด้านละ 50 คน คัดให้เหลือด้านละ 10 คน รวมถึงหลักเกณฑ์การคัดเลือกสปช.จังหวัด เพื่อให้ประชาชนสบายใจ หาก คสช. ไม่ชี้แจงไม่ใส่ใจต่อการตอบคำถาม แล้วรายชื่อ สปช. ที่ออกมา 250 คน ทำให้ประชาชนร้องยี้ อาจจะกระทบ การปฏิรูปในอนาคต ในแง่ของการไม่ให้ความร่วมมือ รวมถึงอาจส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยมของรัฐบาลได้ ส่งผลให้การยึดอำนาจวันที่ 22 พ.ค. เสียของ แต่ หาก คสช.เลือกที่จะชี้แจงหลักเกณฑ์ วิธีการต่างๆ จะทำให้ประชาชนคลายข้อสงสัย แม้ผลคัดเลือกรอบ สุดท้ายออกมาแม้จะไม่ดีที่สุด ประชาชนก็ยังปรบมือ


นักวิชาการแนะให้สังคมมีส่วนร่วม


นายยุทธพร อิสรชัย คณบดีรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า การคัดสรร สปช. ควรให้สังคมมีส่วนร่วมมากขึ้น เพราะ สปช.ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง หากมีการเปิดเผยรายชื่อผู้ที่ได้รับการสรรหาในรอบแรก หรือเปิดเผยเกณฑ์การให้คะแนนและคุณสมบัติที่นำมาพิจารณา จะทำให้ประชาชนมีความรู้สึกว่ามีส่วนร่วมในการสรรหาและคิดว่าสภานี้เป็นตัว แทนของพวกเขา ส่วนที่มีข่าวร้องเรียนว่าเล่นพรรคเล่นพวกนั้น อาจเป็นเพราะว่าในต่างจังหวัดนั้นๆ มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่มีผลประโยชน์เข้ามามีบทบาทในการสรรหา จำเป็นที่ คสช.ต้องเร่งแก้ไขโดยเร็วอย่าปล่อยไว้เพื่อให้ความปรองดองเกิดขึ้นได้


เตือน คสช.ปิดกั้นมากจะเจอระเบิด


นายยุทธพรยังกล่าวถึงกรณี 60 นักวิชาการออกจดหมายเปิดผนึกประณามกรณีทหารและตำรวจสั่งให้นักวิชาการและนัก ศึกษายุติงานเสวนาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่า อาจารย์ที่ออกมาล้วนเป็น นักวิชาการรุ่นใหม่ ความขัดแย้งในสังคมวันนี้ไม่ใช่แค่วาทกรรม บรรยากาศการเมืองเปลี่ยนไป ความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ก็เปลี่ยนไปด้วย เรื่องนี้ คสช.จะละเลยไม่ได้ ต้องทำความเข้าใจ รวมทั้งยอมรับความคิดเห็น เปิดพื้นที่ปลอดภัยให้สามารถคุยกันและแสดงความคิดเห็นได้บ้าง เหมือนการต้มน้ำในกา เราต้องปล่อยไอน้ำออกมาบ้าง ไม่เช่นนั้นกาอาจระเบิดได้ เพราะหากปิดกั้นมากเกิดไป อาจจะเป็น แรงกดดันและเป็นชนวนเหตุในการออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมในอนาคตได้


สวน “บิ๊กป้อม” ยันไม่ขออนุญาตแน่


นายปราชญ์ ปัญจคุณาธร กล้องวงจรปิด อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ระบุถึงนักวิชาการให้ขออนุญาต คสช.ก่อนจัดการเสวนาและอย่าล้ำเส้นว่า ในแง่ของเสรีภาพการแสดงความเห็นทางวิชาการต้องไม่ถูกควบคุมเนื้อหาหรือหัว ข้อ ไม่เช่นนั้นจะไม่ใช่การแลกเปลี่ยนทางวิชาการอีกต่อไป ทหารไม่มีสิทธิ์จะมาควบคุมหรือจำกัดเสรีภาพทางวิชาการได้ แต่กลุ่มนักวิชาการ 60 คน ยังไม่ได้หารือว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพียงย้ำจุดยืนคือ เสรีภาพทางวิชาการต้องไม่ถูกควบคุม และจะไม่ ขออนุญาตแน่นอน ทั้งนี้ ยืนยันว่างานทางวิชาการไม่กระทบต่อความมั่นคง และนักวิชาการไม่ได้ล้ำเส้นใคร มีแต่ทหารที่มาล้ำเส้นเรามาจับนักวิชาการในมหาวิทยาลัย ยอมรับไม่ได้ที่จะมาคุกคามกันเช่นนี้


ชี้ “ศรีสุวรรณ” ยื่นศาล รธน.ไม่ได้


นายรักษเกชา กล่าวถึงกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เตรียมยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วยตนเองให้วินิจฉัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และกรณีที่บุคคลจากองค์กรตามรัฐธรรมนูญเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิก สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวว่า เป็นสิทธิของนายศรีสุวรรณและขึ้นอยู่กับศาลรัฐธรรมนูญจะรับเรื่องหรือไม่ แต่ไม่แน่ใจว่าตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเปิดช่องให้ทำได้หรือไม่ และเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องการกระทำจะส่งศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ และอำนาจ คสช.ถือเป็นที่สุดตามที่ผู้ตรวจได้มีมติยกคำร้องไปแล้ว


ลูกจ้างร้องผู้ตรวจฯแก้ปัญหาโดนรีไทร์


เมื่อเวลา 09.00 น. ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สหพันธ์พนักงานจ้างท้องถิ่นแห่งประเทศไทย จำนวนหนึ่ง นำโดยนางปิยะพร จันทร์ละมุด ประธานสหพันธ์พนักงานจ้างท้องถิ่นแห่งประเทศไทย และนายพิพัฒน์ วรสิทธิดำรง นายกสมาคมข้าราชการส่วนท้องถิ่นแห่งประเทศไทย ในฐานะที่ปรึกษาสหพันธ์ฯ เข้ายื่นหนังสือถึงนางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่านนายรักษเกชา แฉ่ฉาย รองเลขาธิการและโฆษกสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อร้องทุกข์กรณีพนักงานจ้างท้องถิ่นถูกเลิกจ้าง ซึ่งเป็นผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาล เนื่องจากนโยบายรัฐบาลชุดเดิม กำหนดนโยบายปรับเงินเดือนและค่าจ้างแก่ข้าราชการและลูกจ้างภาครัฐ แต่ไม่เพิ่มเม็ดเงินให้ท้องถิ่น ทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่งใช้เป็นข้ออ้างปรับลดตำแหน่งพนักงาน จ้าง ส่งผลให้พนักงานจ้างหลายร้อยคนถูกบีบให้เซ็นหนังสือลาออก โดยที่ไม่ยินยอม ที่ผ่านมาเคยขอความช่วยเหลือจากกระทรวงมหาดไทย สำนักนายกฯ และสำนักปลัดกลาโหม แต่ยังไม่มีการแก้ไขให้ถูกต้อง จึงขอให้ผู้ตรวจฯเสนอเรื่องไปยังนายกฯและหัวหน้า คสช.เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว


“รัชตะ” ยังแทงกั๊กนั่งควบตำแหน่ง


วันเดียวกัน นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รมว.สาธารณสุข และอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีสภามหาวิทยาลัยมหิดลขีดเส้นให้ นพ.รัชตะเลือกนั่งตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ระหว่าง รมว.สาธารณสุข หรืออธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ในวันที่ 8 ต.ค.นี้ ว่า ไว้รอฟังพร้อมกัน ขณะนี้ยังไม่พร้อม และหากตัดสินใจแล้วจะเรียนให้ทราบอีกที อย่างไรก็ตาม ตนมีความชัดเจนแน่นอน ส่วนจะเปิดเผยวันไหนยังไม่ได้กำหนดว่าวันไหนจะพูดหรือไม่พูด สำหรับกระแสกดดันจากสังคมภายนอกถึงการนั่งควบ 2 ตำแหน่งนั้น ไม่รู้สึกกดดัน เพราะทำงานเต็มที่ทั้งหมด


คณะทำงานร่วมเลื่อนถกคดีข้าว


ที่โรงแรมดุสิตธานี พัทยา จ.ชลบุรี นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงความคืบหน้าการตั้งคณะทำงานร่วมระหว่าง ป.ป.ช.กับอัยการสูงสุด (อสส.) ในการพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์คดีรับจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า เดิมที่จะนัดประชุมคณะทำงานร่วมนัดแรกในวันที่ 23 ก.ย. ล่าสุดทาง อสส.ที่มีนายวุฒิพงศ์ วิบูลย์วงศ์ รองอัยการสูงสุด เป็นหัวหน้าคณะทำงานทำหนังสือแจ้งว่า ขอเลื่อนการประชุมคณะทำงานนัดแรกออกไปก่อน เพราะคณะทำงานฝ่าย อสส.ยังไม่พร้อม


“จาตุรนต์” ห่วงรูปแบบ ลต.บิดเบี้ยว


นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีต รมว.ศึกษาธิการ และแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่าหากออกรัฐธรรมนูญฉบับถาวรสำเร็จแล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะเลือกตั้งได้ทันทีว่า หากมองตามกฎหมายก็เป็นเช่นนั้น เพราะธรรมนูญชั่วคราวไม่ได้พูดชัดเจนว่าจะเลือกตั้งเมื่อใด ซึ่งเป็นปัญหาที่หลายฝ่ายสนใจและต้องการให้เกิดความชัดเจน ทั้งนี้มองว่านายวิษณุพูดตามความเป็นจริงทางการเมืองและเข้าใจในกฎหมาย แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือมีหลายคนออกมาพูดในลักษณะที่ไม่ชัดเจนว่า ต้องอยู่นานบ้าง หรือบางคนอยากอยู่นานก็ไม่ทราบ จนไม่ทราบว่าจะมีการเลือกตั้งเมื่อใด ตนห่วงว่าหากเลื่อนเลือกตั้งออกไปเรื่อยๆ ปัญหาจะยิ่งมีมาก ประเทศจะอยู่ไปโดยไม่ได้รับการยอมรับ และสิ่งที่เป็นห่วงมากกว่านั้นคือ ไม่ทราบว่าการเลือกตั้งในอนาคตจะเป็นอย่างไร มีความหมายแบบไหน การเลือกตั้งจะเป็นการให้ประชาชนได้ตัดสินอนาคตของประเทศจริงหรือไม่ เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญกว่าที่จะมองว่าจะมีเลือกตั้งเมื่อไร


“ปานเทพ” ลั่นต้องทำให้เร็วที่สุด


นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช. กล่าวว่า หากจะเลื่อนการประชุมในวันที่ 23 ก.ย.ออกไป ก็คงต้องนัดประชุมใหม่ให้เร็วที่สุดเพื่อหารือถึงอำนาจการฟ้อง พยานหลักฐานที่จะต้องไต่สวนเพิ่มเติม ต้องพยายามทำให้เร็วที่สุด อาจจะประชุมร่วมกันประมาณ 1-2 ครั้ง ยืนยันว่าการใช้เวลาพิจารณาร่วมกันคงไม่ยืดเยื้อเป็นปีเหมือนที่ผ่านมา อยากให้ อสส.เป็นผู้ส่งฟ้อง แต่ถ้า อสส.ไม่สามารถส่งฟ้องได้ ป.ป.ช.ก็ต้องดำเนินการเอง


“ไพบูลย์” ย้ำรัฐ ยันไม่ล้วงลูก ป.ป.ช.


ที่โรงแรมดุสิตธานี พัทยา จ.ชลบุรี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันว่า รัฐบาลมีหน้าที่บริหารประเทศต้องรับผิดชอบทุกเรื่อง แต่การปราบทุจริตต้องทำอย่างบูรณาการ จำเป็นต้องดูแลตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ หลังจากนี้จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปราบทุจริตมาประชุมว่าที่ผ่าน มามีปัญหาติดขัดอะไร จะรับเป็นเจ้าภาพให้หน่วยงานเหล่านี้มาบูรณาการกัน ทั้งการทำงานและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ยืนยันว่า รัฐบาลและ คสช.จริงใจจะแก้ปัญหาการทุจริต พร้อมให้ความเป็นอิสระแก่ ป.ป.ช.ในการทำงาน จะไม่ใช้อำนาจสั่งการ เพราะเป็นการก้าวก่ายจึงต้องร่วมมือกัน ทั้งนี้ได้ให้นโยบายคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ไปตรวจสอบหน่วยงานภายในกระทรวงยุติธรรมให้เรียบร้อยก่อนจะไปตรวจสอบกระทรวง อื่น เมื่อถามว่า หากมีชื่อ พล.อ.ไพบูลย์ถูกร้องเรียนไปยัง ป.ป.ช. พล.อ.ไพบูลย์ตอบว่า “หากพบว่าทำผิด ผมก็ลาออก เพราะคนดูแลเรื่องทุจริต ทำทุจริตเอง แล้วจะอยู่ได้อย่างไร”


“วรงค์” จี้ “ปนัดดา” แถลงข้าว 3 ปม


นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวคงเหลือของรัฐ จะแถลงผลตรวจสอบโกดังข้าวทั่วประเทศรวม 1,787 โกดังและอีก 136 ไซโลในสัปดาห์หน้าว่า จำเป็นต้องเตือนความทรงจำและแนะแนวทางการแถลงข้อมูลที่ประชาชนอยากทราบคือ 1.ปริมาณข้าวที่เหลือ มีการสูญหายหรือไม่ เท่าไร เทียบกับรายงานการตรวจของ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ อดีตประธานอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าว แล้วเป็นอย่างไร 2.ทราบหรือไม่ว่า มีการเวียนข้าวมาคืนหรือไม่ อย่างไร ผลการตรวจคุณภาพข้าวเป็นอย่างไร ตัวเลขความเสียหายเชิงคุณภาพที่ต่ำกว่ามาตรฐานแจงออกมาได้หรือไม่ 3.การที่ตรวจพบทั้งข้าวหายและข้าวเสื่อมสภาพ รัฐบาลมีแนวทางในการปราบปรามผู้ที่มีส่วนร่วมการทุจริตอย่างไร เพราะหากมีแค่ฝ่ายเอกชนจะทำการทุจริตไม่ได้แน่ สิ่งเหล่านี้รอคอยรับฟังในปลายเดือน ก.ย.


ปล่อยตัว “เจ๋ง ดอกจิก” พ้นคุก


สำหรับกรณีที่ศาลอาญามีคำสั่งเมื่อวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา เห็นควรส่งเรื่องการพิจารณาปล่อยชั่วคราว ที่นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 5 แสนบาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกานายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก แกนนำ นปช. จำเลยคดีหมิ่นเบื้องสูง หมายเลขดำ อ.2740/2553 หมายเลขแดง อ.193/2556 ที่แสดงพฤติการณ์ดูหมิ่นแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 2, 8 และ 12 โดยศาลอาญาพิพากษาจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญาให้ศาลฎีกาพิจารณาปล่อยชั่วคราวนั้น วันเดียวกัน นายวิญญัติทนายของนายยศวริศ กล่าวว่า วันนี้ศาลอาญาอ่านคำสั่งศาลฎีกาเรื่องปล่อยชั่วคราวนายยศวริศ โดยศาลฎีกาอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ตีราคาหลักทรัพย์ 700,000 บาท โดยไม่มีกำหนดเงื่อนไขใดๆ ทางทีมทนายความจะยื่นหลักทรัพย์ 700,000 บาท ไปทำสัญญาประกันที่ศาลอาญา ก่อนที่ศาลอาญาจะออกหมายปล่อยนายยศวริศ จากนั้นจะนำหมายส่งไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯเพื่อปล่อยตัวนายยศวริศต่อไป


“พระสุเทพ” ตอบคำซักค้านคดีฟ้องหมิ่น


โดยนายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความโจทก์ กล่าวว่า พระสุเทพ ได้ตอบคำซักค้านของพนักงานอัยการ ซึ่งทำหน้าที่แก้ต่างให้จำเลยที่ 1 สรุปว่า โครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทนดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และจากนั้นช่วงที่ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ดำรงตำแหน่งรักษาการ ผบ.ตร. ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ระบุให้เปลี่ยนจากประมูลก่อสร้างรายภาคเป็นส่วนกลาง ซึ่ง พล.ต.อ.ปทีปได้เซ็นอนุมัติโครงการ ก่อนจะถูกส่งเรื่องมาให้ โจทก์ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรีลงนาม ซึ่งขั้นตอนต่างๆ เป็นไปอย่างถูกต้อง ไม่มีการฮั้วประมูล เนื่องจากโครงการดังกล่าวได้มีการประกวดราคาผ่านระบบอีอ็อกชั่น มีผู้เข้าร่วมประมูลเสนอราคาสู้กันถึง 73 ครั้ง จนทำให้ได้ราคาที่ต่ำกว่าราคากลางเกือบ 500 ล้านบาท ทั้งนี้ภายหลังตอบคำซักค้านแล้ว ศาลได้นัดตอบคำซักค้านฝ่ายจำเลยต่ออีกครั้ง ในวันที่ 10 พ.ย.57 เวลา 10.30 น.


ที่ห้องพิจารณาคดี 709 ศาลอาญา ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ในคดีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือพระสุเทพ ปภากโร อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) นายวรศักดิ์ ประยูรศุข บริษัท ข่าวสด จำกัด และ นายสุริวงศ์ เอื้อปฏิภาน เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา จากกรณีเมื่อวันที่ 27 ก.พ.-5 มี.ค.56 นายธาริต จำเลยที่ 1 ได้แถลงข่าวกล่าวหาโจทก์ ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ทำเรื่องขอเปลี่ยนแปลงโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทนจำนวน 396 โรงพัก จากรายภาครวมเป็นรายเดียวซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันเป็นข้อความเท็จทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย