วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557

หน่วยสวาทบุก จับตาย 'ไอเอส'

EyWwB5WU57MYnKOuFIsND7VOCmmD5eAh7urpCtXZYyCqvYs72S3ojoขณะที่นายคริส รีซัน ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ช่อง7 ของออสเตรเลีย ที่สำนักงานอยู่ตรงข้ามร้านกาแฟลินด์ต ได้ทวีตข้อความในเว็บไมโครบล็อก “ทวิตเตอร์” อ้างว่าตนและเพื่อนนักข่าวนับตัวประกันได้ประมาณ 15 คน ไม่ได้มากถึง 50 คน โดยมีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย คนหนุ่มสาวและคนสูงอายุ แต่ไม่มีเด็กๆ

ขณะเดียวกันยังมองเห็นคนร้ายเปลี่ยนให้ตัวประกันสลับกันไปยืนชูมือแนบกระจกร้านกาแฟ น่าจะประมาณคนละ 2 ชม.

อย่างไรก็ตาม หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจคุมเชิงสถานการณ์ที่ตึงเครียดกว่า 15 ชั่วโมง ในที่สุดเมื่อเวลาประมาณ 02.00 น. ตามเวลาซิดนีย์ หรือตรงกับ 4 ทุ่มเมืองไทย เจ้าหน้าที่ได้ตัดสินใจปฏิบัติการบุกเข้าช่วยตัวประกันภายในร้านกาแฟลินด์ต โดยนำหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายพร้อมอาวุธ จู่โจมเข้าภายในร้านโดยมีเสียงอาวุธปืน และประกายไฟในที่เกิดเหตุขึ้นเป็นระยะ มีการปะทะกันและใช้แก๊สน้ำตา ซึ่งผู้สื่อข่าวสามารถจับภาพการช่วยตัวประกันออกมาได้เพิ่มประมาณ 9 คน ในจำนวนนี้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 คน ในจำนวนนี้สาหัส 1 คน หลังปฏิบัติการบุกจู่โจมได้มีการส่งเจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด เข้าพื้นที่เกิดเหตุตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างละเอียด ส่วนผู้ก่อเหตุยังไม่มีรายงาน ณ เวลา 22.00 น.ของไทยว่าเป็นอย่างไร

มีรายงานต่อมาแจ้งว่า ผู้เสียชีวิต 2 คน คือเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ก่อการร้าย โดยในการบุกเข้าช่วยเหลือตัวประกันนั้น เจ้าหน้าที่ได้บุกเข้าไปทางหน้าร้านและหลังร้าน ท่ามกลางความมืดสนิทของร้าน เนื่องจากถูกดับไฟ

ขณะเดียวกัน มีรายงานจากนครซิดนีย์ว่า ก่อนเกิดเหตุเล็กน้อย มีนายเกร็ก สโตเกอร์ ได้พบกับชายคนหนึ่งที่คาดว่าจะเป็นผู้ก่อการร้ายในเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างบังเอิญตรงถนนฟิลิปส์ หลังจากที่นาย เกร็ก ซื้อกาแฟจากร้านลินด์ตออกมา และสวนกับชายที่คาดว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ที่กำลังเดินสวนเข้าไป โดยชายดังกล่าวสวมเสื้อดำ มีภาษาอาหรับสีขาวบนเสื้อ และบนผ้าคาดหัว ถือกระเป๋าสีฟ้า นายเกร็กได้ถามชายดังกล่าวว่ากำลังจะไปไหน ชายดังกล่าวได้หันมาตอบว่า คุณอยากให้ฉันยิงคุณหรือ ทำให้นายเกร็กตกใจจึงรีบเดินหนีไป กระทั่งต่อมาถึงทราบว่าชายดังกล่าวได้ก่อเหตุจี้จับตัวประกัน

สำหรับรายละเอียดของคนร้ายเริ่มถูกเปิดเผยออกมาเรื่อยๆ ล่าสุดสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานอ้างข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งของออสเตรเลียที่ระบุว่า นายมาน ฮารอน โมนิส อายุ 49 ปี ผู้ลี้ภัยชาวอิหร่าน ที่ก่อเหตุครั้งนี้ ยังอ้างตัวด้วยว่าเป็นทั้งชีคและเป็นผู้เยียวยาทางจิตวิญญาณ ได้ใช้ปืนสั้นก่อเหตุ นอกจากนี้ เจ้าตัวยังอยู่ระหว่างประกันตัวสู้คดีสมรู้ร่วมคิด ฆาตกรรมอดีตภรรยา ซึ่งมีผู้พบว่าถูกแทงและถูกจุดไฟเผาในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในซิดนีย์ นอกจากนี้ในเว็บไซต์ของนายโมนิสยังมีภาพกราฟฟิกของเด็กๆ ซึ่งระบุว่าเสียชีวิตโดยการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯและออสเตรเลีย ทั้งยังมีรายงานข่าวของสื่อเกี่ยวกับการขึ้นศาลของนายโมนิส กับแถลงการณ์ต่างๆต่อชุมชนชาวมุสลิมและข่าวเกี่ยวกับนายกฯแอ็บบ็อต

ขณะที่ น.ส.ช่อฉัตร จินดาโชติ พนักงานร้านอาหารไทยซึ่งเดินไปอยู่ในย่านมาร์ตินเพลส สถานที่เกิดเหตุขณะเกิดเหตุ ให้สัมภาษณ์ข้ามประเทศมายังไทยรัฐ ว่าตำรวจได้ปิดกั้นบริเวณไว้ไม่ให้มีคนเข้าไปใกล้ตัวอาคาร มีระยะห่างประมาณ 400-500 ม. มีนักข่าวจากนานาชาติทยอยเดินทางมาเรื่อยๆ และผู้สื่อข่าวต่างๆได้รับการขอร้องจากเจ้าหน้าที่ไม่ให้รายงานสถานการณ์ที่เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการอยู่เผยแพร่ออกไป เนื่องจากในร้านมีทีวีซึ่งคนร้ายอาจกำลังดูอยู่ นอกจากนี้ มีชายชาวออสเตรเลียที่ค่อนข้างรักชาติได้ยืนต่อว่าชาวมุสลิมที่มายืนดูเช่นเดียวกัน ต่างมองหน้ากันไปมาและเหมือนจะมีปัญหากัน ตำรวจที่รักษาการณ์บริเวณดังกล่าวได้เข้ามาระงับเหตุไว้ ในบริเวณเดียวกันก็มีเจ้าหน้าที่นำสุนัขมาเดินตรวจค้นหาวัตถุระเบิด ในจุดที่มีฝูงชนมุงดูเหตุการณ์และตามซอกมุมต่างๆด้วย

วันเดียวกัน กลุ่มชาวมุสลิมออสเตรเลียกว่า 40 คน ร่วมกันแถลงประณามการก่อเหตุของคนร้ายครั้งนี้ พร้อมปฏิเสธความพยายามใดๆของคนร้ายที่คิดทำร้ายผู้บริสุทธิ์ และสวดวิงวอนให้ทุกคนปลอดภัย ขอให้เรื่องราวทั้งหมดได้รับการแก้ไขโดยเร็วและอย่างสันติ

เมื่อเวลา 21.10 น. ประเทศไทย ตรงกับเวลา 01.10 น. ของนครซิดนีย์ มีรายงานจาก น.ส.ช่อฉัตร จินดาโชติ ผู้สื่อข่าวพิเศษ ว่าในจำนวนเหยื่อตัวประกันที่ยังถูกจับอยู่ในร้านช็อกโกแลตคาเฟ่ มีเด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งเด็กคนนี้ที่ตกเป็นตัวประกันได้ส่งเมสเสจผ่านมือถือไปหาผู้เป็นมารดาแจ้งเหตุร้าย ตอนเกิดเหตุใหม่ๆ และมารดาได้ถามเด็กชายคนดังกล่าวว่าเป็นอย่างไรบ้าง เด็กชายเหยื่อตัวประกันตอบว่า โอเค แต่คุยไม่ได้ ซึ่งในเวลาต่อมามารดาของเด็กได้ให้สัมภาษณ์ทีวีท้องถิ่นถึงความรู้สึกที่ลูกถูกจับเป็นตัวประกันว่า รู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นและเป็นห่วงในชะตากรรมของลูกมาก น.ส.ช่อฉัตรรายงานด้วยว่า อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะรายงานข่าวเป็นเวลากว่า 16 ชั่วโมงแล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าคนร้ายจะปล่อยตัวประกันทั้งหมดเพื่อความปลอดภัย ซึ่งมีการปิดถนนในตัวเมืองเกือบทุกสาย สถานีรถไฟรอบๆถูกปิดหมด มีการอพยพคนออกจากโอเปร่าเฮาส์ ร้านที่เกิดเหตุอยู่ตรงข้ามสถานกงสุลสหรัฐอเมริกา คนละฟากถนน ขณะที่สถานกงสุลไทย ณ นครซิดนีย์ อยู่ห่างไปประมาณครึ่งกิโลเมตร จากการสังเกตเห็นผู้ก่อการร้ายปักธงอักษรลักษณะของอิสลามไว้หน้าร้าน ขณะที่หน่วยแม่นปืนหรือสไนเปอร์จำนวนมากถูกส่งมาประจำจุดรอบๆ ที่ผู้ก่อการร้ายจับตัวประกัน สำหรับส่วนตัวแค่ตื่นเต้นไม่ได้ตกใจอะไร และพยายามเช็กข่าวกันในหมู่คนไทยว่ามีใครตกเป็นตัวประกันบ้างหรือไม่

ด้านคนไทยในนครซิดนีย์ นายณัฐพันธ์ ตรีเมฆ ผู้สื่อข่าวไทยรัฐประจำนครซิดนีย์ รายงานมาว่า ภายหลังเกิดเหตุการณ์จี้ตัวประกัน ได้สอบถามนายธีระเทพ พรหมวงศานนท์ กงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์ ว่ามีคนไทยถูกจับเป็นตัวประกันหรือไม่ นายธีระเทพเปิดเผยว่า สถานที่เกิดเหตุห่างจากที่ตั้งสถานกงสุลใหญ่ประมาณ 500 เมตร ได้ติดตามเหตุการณ์ทุกระยะ เนื่องจากเบื้องต้นได้รับแจ้งว่า มีคนไทยทำงานอยู่ที่ร้านเกิดเหตุด้วย แต่เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดทราบว่าได้ออกไปทำงานที่อื่นแล้ว และพยายามติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ตลอดเวลาว่ามีคนไทยอยู่ในกลุ่มตัวประกันด้วยหรือไม่ แต่ได้รับการยืนยันจากตำรวจว่าไม่มี และสถานกงสุลใหญ่ได้ออกประกาศเตือนเหตุการณ์ดังกล่าวให้ชาวไทยทราบ โดยหลีกเลี่ยงการเดินทางไปในบริเวณจุดเกิดเหตุ ขอให้ออกห่างจากใจกลางนครซิดนีย์

เนื่องจากมีการขู่ระเบิดหลายจุดในตัวเมือง พร้อมทั้งสถานกงสุลใหญ่สั่งปิดบริการในช่วงบ่าย ตามที่ทางการรัฐบาลออสเตรเลียขอความร่วมมือ นายบุรินทร์ เส็งเรียบ เจ้าของร้านอาหารไทยที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุและอยู่ในเหตุการณ์ระทึกด้วย เปิดเผยว่า อาคารที่ตั้งร้านอาหารของตน อยู่ห่างจากร้านที่คนร้ายจับตัวประกันเพียง 100 เมตรเท่านั้น ช่วงชุลมุนตนก็เป็นอีกคนที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกักตัวไว้ในอาคารที่อยู่ในรัศมีใกล้เคียงทั้งนี้ ออสเตรเลียถือเป็นพันธมิตรเหนียวแน่นกับสหรัฐฯ สนับสนุนการโจมตีกลุ่มไอเอสในซีเรียและอิรัก ด้านประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ก็ได้รับการสรุปรายงานเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นและเฝ้าจับตามองอย่างใกล้ชิด ก่อนนี้เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา รัฐบาลออสเตรเลียประกาศเตรียมความพร้อมรับมือเหตุโจมตีทั่วประเทศจากกองโจรมุสลิมที่เป็นพลเมืองออสเตรเลีย ซึ่งเชื่อว่ากว่า 70 คน กลับจากการเข้าร่วมฝึกซ้อมรบกับกลุ่มไอเอสในอิรักและซีเรียด้วยความรู้สึกชิงชัง จึงต้องการวางแผนโจมตีออสเตรเลีย

ต่อมานายกรัฐมนตรี โทนี แอบบ็อตต์ แห่งออสเตรเลีย สั่งเรียกประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคงแห่งชาติ หาวิธีคลี่คลายปัญหา พร้อมแถลงข่าว ที่กรุงแคนเบอร์รา เมืองหลวงออสเตรเลียว่า เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความตกตะลึง เข้าใจถึงความรู้สึกกังวลใจของประชาชน เบื้องต้นรัฐบาลยังไม่ทราบถึงเหตุจูงใจของคนร้าย และยังไม่แน่ชัดว่าเป็นประเด็นทางการเมืองหรือไม่ ออสเตรเลียเป็นประเทศสุขสงบ เปิดกว้างและสังคมมีน้ำใจไมตรี ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จึงขอเรียกร้องประชาชนชาวออสเตรเลียทุกคน ให้กลับไปทำงานตามปกติ อย่าแตกตื่นตกใจ และใช้ชีวิตกันตามปกติ

อย่างไรก็ตาม แม้นายโทนีจะออกมากล่าวว่าให้ใช้ชีวิตกันตามปกติก็ตาม ก็ยังมีหลายฝ่ายวิตกกังวลว่าคนร้ายจะทำร้ายหรือฆ่าตัวประกันในลักษณะของการพลีชีพตามแบบฉบับของกลุ่มก่อการร้าย เพื่อบรรลุภารกิจที่เคยประกาศไว้ว่า จะฆ่าทุกคนไม่เลือกเชื้อชาติที่อยู่ในประเทศออสเตรเลีย หลังจากที่ออสเตรเลียได้ส่งทหารเข้าร่วมภารกิจกวาดล้างกลุ่ม ISIS

ระหว่างที่สถานการณ์ยังคงตึงเครียด ช่วงเวลา 16.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ก็มีผู้ชาย 3 คนวิ่งหนีออกจากร้านทางประตูหนีไฟ จากนั้น กระทั่งเวลา 17.09 น.สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นของออสเตรเลีย ได้มีการเผยแพร่ภาพของตัวประกันหญิงที่หลบหนีออกมาได้อีก 2 คน ทำให้มียอดผู้หลบหนีออกมาได้แล้วรวม 5 คน คาดว่าเป็นพนักงาน โดยผู้หญิง 2 คนใส่ชุดพนักงานร้านคาเฟ่สวมผ้ากันเปื้อน วิ่งหนีออกมาทางประตูหน้าร้านเข้าไปหาตำรวจหน่วยต่อต้านการก่อการร้าย หรือหน่วยสวาทนับร้อยนายที่ปิดล้อมพื้นที่ไว้ทั้งหมด โดยตำรวจยังแบ่งกำลังบางส่วนเข้าเคลียร์พื้นที่ตามอาคารต่างๆที่อยู่ใกล้เคียง หอสมุดแห่งชาติ สถานีโทรทัศน์เซเว่นนิวส์ ซึ่งมีรายงานมีผู้ถูกจับกุม 1 คนหลังไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุจับตัวประกันครั้งนี้ และยังอพยพนักท่องเที่ยวออกจากตัวอาคารซิดนีย์ โอเปร่า เฮาส์ รวมทั้งมีการจัดชุดเจ้าหน้าที่ประดาน้ำลงไปในอ่าวซิดนีย์ ตรวจดูความปลอดภัย บริเวณโอเปร่า เฮาส์ ส่วนสายการบินต่างๆ ยืนยันว่ายังให้การบริการตามปกติ

เวลาล่วงเลยมาถึง 11 ชม. เหตุการณ์ก็ยังไม่ยุติ นางแคทเธอลีน เบอร์น รองผู้บัญชาการตำรวจประจำรัฐนิวเซาท์เวลส์ ได้เผยว่า ฝ่ายเจรจาของตำรวจเริ่มขอเจรจาพูดคุยกับคนร้ายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุยังไม่เป็นที่แน่ชัด ขณะที่รัฐบาลอินเดียแถลงยืนยันว่า มีพลเมืองชาวอินเดีย ซึ่งเป็นพนักงานบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ “อินโฟซีส์” ของประเทศเป็นหนึ่งในตัวประกัน และหวังว่าทุกอย่างจะคลี่คลายอย่างสันติ

เหตุการณ์ระทึกขวัญโลกและชาวมหานครซิดนีย์ รัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย ที่เกิดขึ้นกลางเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นมหานครน่าอยู่แห่งหนึ่งของโลก โดยเมื่อช่วงเช้าในชั่วโมงเร่งด่วน เวลา 09.45 น. ของวันจันทร์ที่ 15 ธ.ค. ตามเวลาท้องถิ่น หรือประมาณ 05.45 น. ตามเวลาไทย ได้มีคนร้ายติดอาวุธ 1 คน บุกเข้าไปภายในร้านลินด์ต ช็อกโกแลต คาเฟ่ ในย่านมาร์ติน เพลซ ศูนย์ธุรกิจสำคัญ แหล่งช็อปปิ้ง ที่ตั้งสำนักงานธนาคารกลางออสเตรเลีย ศูนย์รวมธนาคารพาณิชย์หลายแห่งและติดกับอาคารรัฐสภานิวเซาท์เวลส์ ใกล้กับโรงละครโอเปร่า เฮาส์ แลนด์มาร์คสำคัญของซิดนีย์ รวมทั้งสถานกงสุลไทย ณ นครซิดนีย์ จับผู้ที่อยู่ในร้าน ทั้งลูกค้าและพนักงานเอาไว้เป็นตัวประกัน โดยคนร้ายได้ให้ตัวประกันยืนยกมือขึ้นเหนือศีรษะและมายืนแนบกระจกของร้าน พร้อมถือธงสีดำของกลุ่ม ISIS มีข้อความสีขาวเป็นภาษาอาหรับไว้ สร้างความหวาดผวาให้กับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ และประชาชนอย่างมาก จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องระดมกำลังกว่า 100 นาย ปิดล้อมพื้นที่ดังกล่าวเอาไว้

ต่อมานายสตีฟ ลอน ผู้บริหารของคาเฟ่ลินด์ต เดินทางมาที่เกิดเหตุและเผยว่า มีพนักงานที่ทำงานอยู่ในระหว่างเกิดเหตุ 10 คน ส่วนลูกค้าคาดว่าราว 30 คน โดยคนร้ายมีเป้าหมายมาที่ร้านของตนโดยตรงซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 สาขาในซิดนีย์ และยังไม่ทราบวัตถุประสงค์ของคนร้ายว่าต้องการอะไร

ด้านสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นต่างรายงานถึงสถานการณ์ พร้อมเผยแพร่ภาพให้เห็นตัวประกันภายในร้านคาเฟ่ยืนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ยกมือสองข้างขึ้นแนบกับกระจกหน้าต่าง ซึ่งมีธงผืนดำเหมือนธงของกองกำลังไอเอสที่ใช้ในอิรักกับซีเรีย พร้อมข้อความสีขาวเป็นภาษาอารบิกบนผืนธงดำ

แหล่งที่มา  :  ไทยรัฐ

Source: หน่วยสวาทบุก จับตาย 'ไอเอส'